ชีวิตในวัยเด็กอาจารย์โจนั้นค่อนข้างจะลำบากเนื่องจากคุณพ่อนั้นได้จากไปในเวลาอันสั้นในช่วงอาจารย์ยังเรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 คุณแม่ของอาจารย์ก็ได้เลี้ยง 4 คน เนื่องจากความลำบากคุณแม่ได้ค้าขายร้านขายของชำแล้วคุณแม่ก็ได้พูดถึงเรื่องให้จ่าย พูดถึงเรื่องเงิน ทำให้อาจารย์โจนะรู้สึกว่าเราอยากรวย
.
อาจารย์โจบอกว่าไม่รู้หรอกว่าอยากเป็นอะไรแต่รู้แค่ว่าอยากรวย อาจารย์จะรู้สึกว่าเงินทองนั้นหายาก ช่วงที่อาจารย์เริ่มเรียนมอปลายก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะรวยได้อย่างไร
.
อาจารย์ค้นพบว่าการลงทุนนั้นจะมีเรื่องของความเป็นเจ้าของกิจการ การเติบโตไปกับกิจการและความมหัศจรรย์ของการทบต้น อาจาร์ยค้นพบว่าคนชั้นกลางจะมีเงินร้อยล้านได้จะต้องทำวิธีนี้ อาจารย์โจคำนวณปีละ 20% ทบต้นแต่ในความเป็นจริงอาจารย์ทำได้มากกว่านั้น 100 ล้านจึงมาเร็วกว่าที่คาด
.
การลงทุนในความรู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุน อาจารย์ได้เลือกการลงทุนแนว vi รู้สึกว่าแนวนี้เป็นแนวที่ใช้สุดสำหรับอาจารย์


การซื้อหุ้นครั้งแรกของอาจารย์นั้นขาดทุนถึงขาดทุนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากนั้นอาจารย์ได้ฟังข่าวจากทางนักวิเคราะห์เพียงเดียวแต่อาจารย์ยังดูงบไม่เป็นด้วยซ้ำในช่วงแรก ดาราตำนานอาจารย์โจก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมแล้วได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องจนมีวันนึงอาจารย์รู้สึกว่าผู้ที่ถือนั้นไม่ไปไหนเลยรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองเดินถูกทางหรือไม่ แต่ก็ได้อดทนต่อความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ อีกไม่นานหุ้นตัวที่ถือก็ได้ขึ้นไปเป็นอย่างมาก การเชื่อมั่นว่าได้เดินมาถูกทางแล้ว


อาจารย์โจเชื่อว่าถ้าจะรวยได้ต้องเพิ่มรายได้แต่ถ้าช่วงแรกนั้นเพิ่มรายได้ได้ยากก็ต้องเน้นประหยัดที่มากเข้าไว้ ก็มาทำงานในกรุงเทพฯอาจารย์โจนั้นได้อยู่ห้องเช่าที่ราคาถูกมากและไม่ซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นเลยในชีวิตแม้กระทั่งมือถือ เนื่องจากต้องใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและนำเงินที่เก็บได้ให้มากที่สุดมาลงทุน แต่อาจารย์ก็บอกว่าการที่อาจารย์ทนอยู่ได้เนื่องจากมีความฝันที่ยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายรออยู่ การตัดสินใจทำงานทุกอย่างที่ได้เงินเพื่อมาลงทุนเลือกที่จะเป็นเจ้านายตัวเองไม่อยากจะเรียนต่อเพื่อกลับไปรับเงินเดือน เราเชื่อว่าเงินก้อนนั้นจะนำพาให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งขึ้นมาได้


ตอนนั้นก็ได้ลาออกจากงานมาลงทุนทั้งตัวแล้วก็ได้เลี้ยงตัวเองจากเงินลงทุนนั้นมาตลอดแต่ในช่วงการลงทุนนั้นมันก็ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไปอาจารย์โจ้ก็ต้องเจอในช่วงภาวะตลาดที่ไม่ดีเช่นกัน


อ.โจบอกว่ายังไงในช่วงการลงทุนเราก็ต้องเจอวิกฤต อาจารย์ก็เสียหายเหมือนกันแต่อาจารย์ก็บอกว่าเราได้ทำใจไว้แล้วในเส้นทางลงทุนนี้ อาจารย์บอกว่าทางแก้ทางเดียว คือ เราเจอเราเสียหายได้แต่เราอย่าหมดตัว ห้ามกู้เงินมาลงทุน การลงทุนต้องทำใจไว้เลยว่าไม่มีใครสามารถมีวิกฤตได้แค่บางครั้งอาจจะโชคดีเท่านั้นที่เราสามารถออกได้ทัน เราไม่สามารถทําให้ทุกครั้ง ดังนั้นการวางแผนเราต้องวางแผนตอนที่เรามีสติดีๆตอนที่ยังไม่เกิดวิกฤตเราต้องเตรียมตัวไว้ก่อนเลย ผมจะต้องมีแผนล่วงหน้าไว้เสมอ การที่เราไม่มีเงินกู้นั้นจะทำให้เราไม่ถูกบังคับขายในช่วงวิกฤต สิ่งที่ห้ามทำก็คือขายหุ้นดีๆทิ้งตอนที่เกิดวิกฤตในจุดต่ำสุดในช่วงนี้หุ้นลงมากๆแล้วไปขายอันนั้นไม่ควรทำเป็นอย่างมาก เวลาหุ้นลงมากๆอาจารย์จะใช้จะใช้หลัก Money management คือการช้อนซื้อไปเรื่อยๆไปตอนหุ้นมีราคาถูกมากๆโดยที่ไม่เดาว่าจะเจอจุดต่ำสุดตรงไหน
อาจารย์มองว่าจุดที่ทุกคนคาดหวังที่สุดคือซื้อให้ถูกที่สุดแล้วขายให้แพงที่สุดแต่อาจารย์บอกว่าผมซื้อ ขายมาเป็นแสนครั้งผมทำได้แค่ครั้งเดียว แม้กระทั่งขายหมูยังไงก็กำไรแล้วรวยอยู่ดี เป็นนักลงทุนอยากจะแสวงหาความสมบูรณ์แบบถ้ารู้สึกว่ามันถูกก็ซื้อถ้าซื้อก็มันแพงเกินไปก็ขาย


ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของการลงทุนนั้นก็คือตัวเรา กลัวที่สุดมีแต่ข่าวร้ายประถมนั่นคือจุดที่ต่ำสุดแทบจะเสมอ เราต้องฝืนสัญชาตญาณให้ได้ไม่งั้นการลงทุนก็เจ๊ง โดยธรรมชาติของนักลงทุนแนว vi จะเป็นคนที่สวนกระแสเสมอ เราต้องคิดทบทวนไปมาว่าอะไรที่ดูดีเกินไปมันมีความเสี่ยงมันจริงหรือเปล่าซ่อนอยู่ หรือไม่ เราจะไม่เชื่อคนง่ายๆแล้วจะเชื่อในหลักการของเรา การลงทุนแนว vi ก็เหมือนการวิ่งมาราธอนช่วงแรกปล่อยตัวก็ยังมีคนวิ่งอยู่มากแต่พอยาวนานๆไปผ่านวิกฤต ก็จะมีคนหายไปเรื่อยๆ


การมาของโควิต อาจารย์บอกว่าอาจารย์เองก็ไม่รู้แต่อาการและศึกษาประวัติศาสตร์ของการลงทุนในช่วงในช่วงที่มีโรคระบาดอาจารย์มีแผนว่าถ้าหากเกิดโรคระบาดขึ้นอาจารย์จะทำการช็อตเพื่อประคองพอทเอาไว้ดังนั้นพอมีคุยกับอาจารย์จึงได้ทำตามแผน


ในชีวิตการลงทุนในไม่ได้เงียบง่ายเสมอไปก็มีการพ่ายแพ้มาไม่น้อย เหมือนที่ Winston churchill ได้กล่าวไว้ว่า บางครั้งเราแพ้ศึกเพื่อชนะสงคราม


อาจารย์เห็นบางครั้งบางคนไม่ยอมแพ้ไม่ยอมล้มก็หมดตัวไปหลายคนเหมือนกัน อาจารย์บอกว่าช่วงลงทุนใหม่ๆนั้นก็มีผิดเยอะมากแต่เราก็ต้องพยายามเรียนรู้เพื่อที่จะเก่งขึ้น แม้กระทั่งทุกวันนี้มันก็ยังมีผิดอยู่เรื่อยๆแต่หัวใจสำคัญที่สุดก็คือถ้าผิดแล้วคุณห้ามตาย การเสียหายหนักในตลาดหุ้นมีไม่กี่อย่างคือ 1 ใช้ margin 2 All In


อาจารย์เคยเสียหายหนักจากหุ้นบางประเภทเช่นกันเช่น หุ้นวัฏจักร
อาจารย์เชื่อว่าการลงทุนที่จะประสบสำเร็จนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ Insider หรือใช้ความเป็นรายใหญ่แต่สามารถใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลสาธารณะแล้วทายความสามารถในการวิเคราะห์เพื่อจะสร้างความมั่งคั่งได้
หุ้นที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือหุ้นที่มีตัวแปรเยอะ เช่น หุ้นเกษตร หรือผู้นำตาลที่จริงแล้วน้ำตาลและมีตัวแปรประมาณ 10 ชนิด


และหุ้นดัชนีก็คือหุ้นที่มีการพึ่งพาปัจจัยเดียวมากเกินไป เช่นบริษัทที่มีการพึ่งพาบริหารเพียงอย่างเดียวถ้าบริหารคนนี้บริษัทจะเจ๊ง หรือมีสถานที่เดียวอันเดียวถ้าเกิดถ้าหากเกิดไฟไหม้ก็เจ๊ง
แล้วเรื่องการซื้อตอนคนตกใจมากๆอาจารย์โจ้บอกว่าเราต้องระวังเพราะตอนวิกฤตนั้นมันเกิด circuit Breaker ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งมาก


อาจารย์บอกว่าทุกวันนี้เรามาไกลกว่านี้อีกเยอะมากแล้วการที่เราเห็นใครดีกว่าเราเราก็ควรจะยินดีและอนุโมทนากับเขาไป


อาจารย์ให้ความสำคัญกับปัจจัยของผู้บริหารเป็นอย่างมาก การวิเคราะห์ ผู้บริหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ต่อให้เราเก่งแค่ไหนถ้าเราไปลงทุนกับผู้บริหารประเภทนี้สุดท้ายเราก็จะไม่เหลืออะไรอยู่ดีอาจจะโดนโกงจนหมดเลยก็ได้ ผู้บริหารในฝันคือ

ตั้งใจทำธุรกิจจริงๆ มีผลประโยชน์สอดคล้องกับเราคือเขาถือหุ้นด้วยในสัดส่วนค้อนข้างเยอะ
แต่ถ้าหากเป็นผู้บริหารประเภทเค้าได้ แต่ผู้ถือหุ้น loss อาจารย์จะไม่ยุ่งเลยเด็ดขาด
ก็เหมือนกับในชีวิตจริงเราสามารถเลือกคบคนได้แล้วจะคบคนพาลทำไมเราควรจะคบบัณฑิต
วิธีการจำแนกเบื้องต้นก็คือดูคำพูดและการกระทำกับคำพูดและการกระทำไม่ตรงกันอันนั้นก็ต้องระวัง มีวิสัยทัศน์ที่ผ่านมาทำได้ ไม่มีพฤติกรรมที่โกหก


อาจารย์มองว่าตลาดหุ้นอดีตกับปัจจุบันอาจจะแตกต่างกันบ้างแต่สุดท้ายตลาดก็ยังคล้ายกันคือตลาดนั้นเคลื่อนที่ด้วยความโลภและความกลัว คำถามคือณตอนที่อาจารย์เข้าตลาดมาตลาดหุ้นอยู่ 400 จุดก็มีคนมองว่าตลาดมันเป็นสุสานแต่คนที่กล้าในเวลาที่ถูกต้องนั้นก็สมควรจะต้องได้รับผลตอบแทนรางวัลแล้ว ไม่ว่าตลาดตอนนั้นหรือตอนนี้ก็แตกต่างกันยังไงแต่โดยหลักการนั้นก็ยังขับเคลื่อนด้วยวิธีการที่คล้ายคลึงกัน
อาจารย์มองว่าดัชนีนั้นก็มีส่วนแต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นเกิดจากการที่เราเลือกหุ้นเป็นสำคัญ อาจารย์บอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีหลากหลายวิธีแต่ทำไมอาจารย์ถึงเลือกแนว vi เพราะว่าอาจารย์เห็นว่ามีคนมาสำเร็จจริงๆด้วยแนว vi โดยการดูจากคนส่วนใหญ่ที่สำเร็จนั้นค่าเฉลี่ยมากแค่ไหนในแนวทางนั้นๆ
อาจารย์เน้นย้ำกับนักลงทุนมือใหม่ คือการลงทุนนั้นสำคัญที่สุดคือ ก้าวแรก ถ้าคุณก้าวไปในทางที่ผิดไม่ว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย เพราะหากว่าเราเดินทางเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน 5 ปี 10 ปีก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีได้มีเสียเหมือนเรือที่วนรออยู่กลางน้ำไม่ไปไหน


ชาลีมังเกอร์ กล่าวว่าผมจะพยายามศึกษาว่าผมจะตายที่ไหนเพราะถ้าผมรู้ว่าผมจะตายที่ไหนผมจะไม่ไปที่นั่น ในตลาดหุ้นเหมือนกันเรารู้อยู่แล้วว่าวิธีไหนที่จะพาเราไปตายเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง
อาจารย์โจฝากว่าให้เลือกลงทุนวิธีการที่ถูกต้องและสิ่งสุดท้ายสำหรับนักลงทุนมือใหม่ก็คือคืออยากมีข้ออ้างเยอะ ให้เริ่มลงมือทำครับ